Link to UN Webcast
 
 

                              THE CHALLENGER

                               ความลับหลังไม้กางเขน

                                                                                                   (Behind  the Cross)

 

       เอกสารงานวิจัยของ พันเอก Henry Steel Olcott

    และ

       พระพลังโคทา อานันทะ ไมตรียา มหาเถระ(ศรีลังกา)

                

                                        ฟังบรรยายเป็นเสียง ภาษาไทย


                                                                                                            

                                                                              ใครคือโจเซฟในคริสต์ศาสนา ??

             543 ปี หลังพระพุทธเจ้าบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาทรงปรินิพาน ศาสนาคริสต์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป อันหมายรวมประเทศทั้งหลายในย่านอินเดียไปจนจดลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟติส นั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีศาสนาใดในยุคนั้นได้รับความศรัทธาจากมหาชนเท่ากับพระพุทธศาสนา แม้แต่ศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนา ก็ยุคนั้นก็ไม่มีการบันทึกคำสอนใดเป็นหลักฐาน ยังคงมีการบอกต่อกันด้วยปาก(มุขปาฐะ)ทั้งสิ้น และสั่งสอนกันเฉพาะภายในตระกูลของพราหมณ์ มิได้แพร่หลายออกนอกโคตรตระกูลของตน คงมีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่แพร่หลาย ไร้วรรณะ เป็นศาสนาแรกของโลกที่ให้กำเหนิดคำว่า "สิทธิมนุษยชน"

             493 ปีก่อนมีคริสตศาสนาเกิดขึ้นบนโลก  โสเครติส ผู้แรกหนุ่มได้เดินทางมาศึกษายังตักกะศิลา ใน อินเดียตอนเหนือ และได้ปาวารณาตนเป็นอุบาสกในพุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิตจากพระอรหันต์ จากนั้นได้เดินทางกลับไปยังประเทศกรีก(Jonia) ตั้งสำนักสอนวิชาการ และสำนักปฏิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนวิชาการ และหลักธรรมอันลึกซึ้งในพระพุทธศาสนาให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexzander The Great) ทำให้ต่อมาได้กรีฑาทัพมายังชมพูทวีป เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาด้านพระอภิธรรมกับพระอริยบุคคลตามที่ได้รับการแนะนำจากโสเครติส(จึงไม่ปรากฏการรบในการกรีฑาทัพครั้งนี้ แม้จะมีการเสนอให้เข้าตีชมพูทวีปจากแม่ทัพบางคนก็ตาม) ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้ศึกษา ส่วนพระสหายสนิทและแม่ทัพนายกองที่ติดตามมาเพื่อศึกษาธรรมะเช่นเดียวกันนั้น ยังมั่นในเจตนาเดิมจึงไม่เดินทางกลับไปยังประเทศกรีก โดยต่างปราวรณาตัวเป็นอุบาสก นับถือพุทธศาสนา บ้างก็ออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาศึกษาในนาลันทา แล้วนำพุทธศาสนากลับไปเผยแผ่ในประเทศของตน จนมีวัดพุทธศาสนาเกิดขึ้นมากมายในแคว้นต่าง ๆ อันขึ้นตรงกับกรีก ทำให้พุทธศาสนาได้แพร่หลายเป็นหลายนิกาย กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง

             ก่อนคริสต์ศาสนนาถือกำเหนิดขึ้นในโลกมนุษย์ 243 ปี เมื่อ อโศกัน อีดิคส์(Asokan Edivts)(ชาวพุทธเรียกว่า พระเจ้าอโศกมหาราช..ผู้เรียบเรียง)กล่าวว่า หลังจากได้ทำสังคายนาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยมีพระโมคคัลลีบุตรเถรเจ้าเป็นประธานสำเร็จลงแล้ว ก็ทรงส่งพระสมณทูตเผยแพร่ศาสนาได้เดินทางไปประกาศศาสนา ถึงอาณาจักรของพระเจ้าแอนโตนิโอคอสที่๒(Antiochos II) ประเทศซีเรียปัจจุบัน  ฟิลาเดปัส-ปาโตเลมี(Piladepus-Ptolemy)แห่งอียิปต์ อันติโกสัส โกนาตัส แห่งเมสิโดเนีย(Antigonus Gonatus of Mesidonia) และมากัสแห่งไซรีน(Magas of Cyene)               

            การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีกและชาวยุโรป เดินทางมาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลายองค์สำหรับที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่านได้มีเขียนด้านพุทธศาสตร์ไว้หลายภาษาเช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้งท่านผู้นี้ได้แปลพระสูตรมากมายอเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรมของพุทธศาสนาได้ถูกปริวัติเป็น"ระบอบประชาธิปไตย" และพุทธศาสนิกได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่มนำธรรมมะออกไปปฏิบัติตามความถนัดและความเหมาะสมของพื้นที่ของตน ทำให้เกิดเป็นศาสนาแอสเซเนส(Essenes) ซึ่งนิกายนี้จะแยกตัวออกไปอยู่ตามป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ และฝึกสมาธิจิตตามหลักในพระไตรปิฏกเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในยุคนั้นพระพุทธวัจนะได้เผยแพร่และปริวัติไปทั่วชมพูทวีป ตะวันออกกลางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จาริกเผยแพร่ธรรมและออกปฏิบัติจิตสั่งสอนศิษย์ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคลหลายท่านได้เขียนคัมภีร์บรรจุไว้ตามถ้ำซึ่งเป็นที่ประพฤติปฏิบัติจิตของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้จึงไม่มีศาสนาอื่นใดทั้งสิ้นที่ยิ่งใหญ่และมีผู้เลื่อมใสศรัทธาเท่ากับพระพุทธศาสนา ในยุคนั้น

               ได้มีผู้สงสัยกันอยู่เสมอมาตลอดเกือบ 2000 ปี ถึงประวัติการเกิดของเยซูคริสต์ ชีวิตในวัยเด็ก และการเรียนการศึกษาที่ได้รับมานั้น มาจากสำนักใด ? และหลักธรรมที่เยซูได้นำมาสั่งสอนนั้นเป็นของศาสนาใด ?

                การที่จะสามารถสืบค้นพิสูจน์ถึงข้อมูล ต้นตอดังกล่าวให้ได้อย่างถูกต้องแน่ชัด และประกอบด้วยพยานหลักฐานและเหตุผลอันพอเพียง ที่สามารถยืนยันและเชื่อถือได้ ก่อนอื่นเราลองมาพิจารณาคำสอนที่ปรากฏในคัมภีร์ของคริสต์เตียนเองเลย เพื่อมิให้เป็นข้อกังขา แก่บุคคลที่ต้องการค้นคว้า แม้หากว่าผู้นั้นจะเป็นชาวคริสต์เตียนผู้ใฝ่หาในความรู้ และประกอบไปด้วยดวงจิตอันเต็มไปด้วยความยุติธรรม จึงโปรดพิจารณาข้อความทั้งหลายอันปรากฏด้วยความพิจารณา

       ในคัมภีร์โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ( Cheixi Minei)" หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ "เบอร์ลัม(Burlam)" มีว่า

                             "...หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า"ศรีอินเดีย(Serindia)"

ซึ่งได้ถูกปกครองโดยพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า "อะวีเนีย(Avenir)" พระราชโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า "โจอาซาฟ(Joasaphat)" เป็นผู้มีมีคุณลักษณะอันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิตที่สูงส่ง พระราชาได้ให้บรรดานักบวชและโหราจารย์ทั้งหลายมาทำนายอนาคต ของราชโอรสของพระองค์ พวกเขาได้พิจารณาลักษณะรูปร่างของราชโอรสแล้วทำนายว่า เจ้าชายโจอาซาฟผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างยิ่งใหญ่มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลายของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์เชี่ยวชาญกว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า "เจ้าชายโจอาซาฟจะได้เป็นพระราชาแห่งอาณาจักรทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด"

               พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวังที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่งสำหรับเจ้าชายโจอาซาฟ และได้ว่าจ้างชายหนุ่มและสาวใช้รูปร่างหน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับเจ้าชายในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใดจากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึงถ้อยคำที่เศร้าโศกเกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้เจ้าชายโจอาซาฟได้ยินเด็ดขาด พระราชาย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้นพูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับความสนุกสนานสำราญเบิกบานใจเท่านั้น

               โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชายได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายโจอาซาฟได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ว่า ทำไมพระราชบิดาของพระองค์จึงจำกัดให้พระองค์อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวังเท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลายจึงได้กราบทูลเรื่องที่โหราจารย์ทำนายไว้ให้เจ้าชายโจอาซาฟได้ทรงทราบ

                หลังจากนั้น ในโอกาศหนึ่งเจ้าชายโจอาซาฟจึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าชายจะต้องพบกับความทุกข์ เจ้าชายจึงกราบทูลถามพระราชบิดาว่า ตัวความทุกข์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ? พระราชาก็ไม่อาจที่จะอธิบายเปรียบเทียบลักษณะตัวทุกข์ กับสิ่งที่เจ้าชายเห็นเฉพาะในปราสาทได้ เจ้าชายโจอาซาฟจึงกราบทูลขออนุญาตขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาตและจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางให้ พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการให้มหาดเล็กทั้งหลายให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่งมีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย

                 วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายโจอาซาฟกำลังนั่งรถม้าผ่านไปตามถนน พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นคนป่วยเป็นโรคผิวหนังที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ และวันต่อมาพระองค์ก็ได้พบเห็นชายตาบอดคนหนึ่ง พระองค์จึงได้ถามสารถีของพระองค์ว่า "คนพวกนั้นเป็นใคร เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเราหรือไม่ ?" มหาดเล็กทั้งหลายต่างรู้ดีว่า ไม่สามารถปิดบังสิ่งที่เจ้าชายได้พบนั้นเป็นความลับได้อีกต่อไป จึงได้กราบทูลความจริงทั้งหมดให้เจ้าชายได้ทรงทราบ เจ้าชายจึงถามว่า "ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติอย่างคนเหล่านั้นใช่หรือไม่ ?"

                   "คนจำนวนมากผู้ซึ่งปล่อยตัวตามใจตนเองให้ตกอยู่ในความพึงพอใจทางกาม จะต้องประสบกับความเจ็บป่วยอย่างนั้น" มหาดเล็กคนหนึ่งกราบทูล เจ้าชายจึงถามต่อไปว่า

                   "เมื่อไรพวกมหาดเล็กทั้งหลายจึงจะเผชิญหน้ากับความหายนะนี้" มหาดเล็กทั้งหลายจึงกราบทูลว่า "พวกกระหม่อมฉันไม่สามารถคาดเดา หรือพยากรณ์ได้ว่าเมื่อไรพระเจ้าข้า"  เจ้าชายโจอาซาฟจึงไม่ถามต่อไป ทรงนิ่งเฉยจิตดิ่งลงสู่มหาสมุทรแห่งความคิดคำนึง

             อีกครั้งหนึ่งเจ้าชายโจอาซาฟ ได้ออกท่องเที่ยวในเมืองได้พบเห็นชายแก่หลังโกงใบหน้าเหี่ยวย่น เนื้อหนังของเขาเป็นริ้วรอยไม่มีฟันเหลืออยู่แม้ซี่เดียว เจ้าชายโจอาซาฟสงสัยจึงได้ถามพวกมหาดเล็กว่า  นี่คือมนุษย์ชนิดใด "เขาเป็นคนแก่คนหนึ่ง" มหาดเล็กตอบ เจ้าชายจึงถามต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกมหาดเล็กจึงตอบว่า "ต่อจากนี้เขาก็จะต้องตาย"

             "สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น " เจ้าชายถาม พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่งก็ต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน. "เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ให้หมดไปได้หรือไม่ ?"เจ้าชายโจอาซาฟถาม "เป็นไปไม่ได้" นี้คือคำตอบของมหาดเล็กทั้งหลาย ทำให้เจ้าชายโจอาซาฟรู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยังพระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความตายและจุดหมายปลายทางหลังความตาย เจ้าชายโจอาซาฟได้ตรัสถามครูผู้สอนของพระองค์ในพระราชวังว่า " มีใครรู้บ้างไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย" ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ได้ถูกพระบิดาของพระองค์ขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว เจ้าชายโจอาซาฟจึงกลายเป็นผู้ที่กระวนกระวายใจไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้วว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากทั้งหลายและพระองค์กลายเป็นผู้ที่ถูกครอบครองด้วยความทุกข์ระทมใจ

             ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่งมาหาเจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่งในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า "วาร์ลัม(Varlam)" ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของพ่อค้า เขาได้มาถึงศรีอินเดียโดยทางเรือและได้บอกกับมหาดเล็กของพระราชาว่า เขามีอัญมณีซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถจะรักษาคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับเจ้าชายโจอาซาฟเป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้พระราชาพอพระทัย ดังนั้นจึงได้รับพระราชานุญาตให้ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายโจอาซาฟได้ เมื่อ "นักบวชวาร์ลัม"ได้เข้าพบเจ้าชายเขาได้บรรยายให้เจ้าชายฟัง ทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่งเจ้าชายโจอาซาฟเกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่งที่พระองค์ได้เคยไปมาก่อนแล้ว

            เจ้าชายโจอาซาฟจึงได้เสด็จหนีออกจากพระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลกเปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มของนักบวชนั้นซึ่งได้จากพระองค์ไป

            วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายโจอาซาฟกำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า "ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย"

            สี่สิบวันหลังจากที่เจ้าชายโจอาซาฟหนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของนักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัติและราชบัลลังค์ให้อยู่ในความดูแลของเหล่าอำมาตย์ของพระองค์

            เจ้าชายโจอาซาฟได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิงโดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลาไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์(อาจแปลได้ว่า "ทุกขรกิริยา"...ผู้เรียบเรียง) จนกระทั่งพลังจิตของพระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิตอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน เจ้าชายโจอาซาฟได้ขึ้นไปท่องเที่ยวยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัยที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น "พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง  อีกพวงหนึ่งสำหรับท่านเพื่อบรรลุหนทางอันนำไปสู่การสละความสุขทางโลก เพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก" เทพธิดาทั้งสองกล่าว........"

             ข้อความดังกล่าวที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ได้นำมาจากคัมภีร์โบราณแห่งวินัย โดยคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ ชื่อว่า "เจตสิก มิเนอิ( Cheixi Minei)" หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ "เบอร์ลัม(Burlam)" ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของโจอาซาฟ(Joasaphat)  หรือ โจซาฟัต(Josaphat) ในคัมภีร์นี้มีบทมนต์ที่ใช้เจ้าชายใช้ท่องภาวนาว่า "ขอให้ จิต(Soul)ของเราจงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย.."

             เมื่อท่านได้อ่านอย่างพิจารณาแล้วคงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสต์ คาทอลิกในยุคโบราณซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร ? แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด

และเขาผู้จารึกคัมภีร์นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเจ้าชายโจอาซาฟ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้นหากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

             นักวิชาการผู้แสวงหาความจริงทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริงของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตย์(Bodhi-Satta) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนานโดยอาศัยปากต่อปาก(มุขปาฐะ) เป็นไปได้อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิมบ้าง แต่ก็มีความบิดเบือนไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก "คริสต์ คาทอลิก" หยิบเข้ามาใส่ในคัมภีร์นี้จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของคริสต์ คาทอลิกเซ้นท์ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อและเนื้อหาไปจากเดิม

             ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ทางประวัติศาสตร์หรือทางโบราณคดี ที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมว่า มีพระราชาที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียและมีพระนามว่า "อะวีเนียร์" (Avinir) แต่ทั้งนี้ก็มิได้เหนือบ่ากว่าแรง และความอุตสาหะของนักภาษาศาสตร์ที่จะสามารถค้นหารากของภาษา(Root)เดิมนั้นได้ เพราะคำว่า อะวีเนียร์"AVINIA" เป็นคำที่มาจากรากศัพท์เดิมว่า

"อะวีนิชา(AVENESHA)" ซึ่งแปลว่า "มหาราชา"(อินเดียเรียกพระราชาแคว้นว่า "มหาราชา"...ผู้เรียบเรียง) จึงยืนยันได้ว่าคำว่า "อะวีเนียร์" จึงเป็นคำเดียวกันกับคำว่า "มหาราชา" นั่นเอง

             ต่อมาคือคำที่ใช้เรียกเจ้าชาย "โจอาอาฟ" นั้นมาจากที่ใดและมีความหมายอะไร ? สำหรับการดำเนินการส่วนนี้เป็นผลงานวิจัยของท่านโปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาโบราณ ท่านได้กล่าวว่าในภาษาบาลี คำว่า "โพธิสัตตา(Bodhisatta)" ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาปาร์ซี กลายเป็น "โวสัตตะ"(Vosatta) จากนั้นได้เปลี่ยนโดยชาวคริสต์มาเป็น "โยซาฟ(Yosaft)" แล้วจึงกลายมาเป็น "โจซาฟัต(Josaphat)" ในครั้งล่าสุด

               ในส่วนงานวิจัยค้นคว้าของ ท่านโปรเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ(Prof. Win Te Nitze) ได้พบว่า ชีวิตและเรื่องราวของ "เบอร์ลัม(Burlam)" และ "โจซาฟัต(Joasaphat)" ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใช้ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนาโดยใช้ "ภาษาเปห์เลวี(Pehlevi)" จากนั้นจึงถูกแปลจากภาษาเปห์เลวีไปเป็นภาษาต่าง ๆ ของยุโรป โปรเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ ได้กล่าวว่าตามหลักฐานและข้อมูลที่ได้นั้นทำให้พบว่าเรื่องราวของพระพุทธเจ้าในพุทธประวัติได้ถูกดัดแปลงให้เป็น "เช้นท์โจอาซาฟ" เป็นคริสต์ คาทอลิกไปด้วยสาเหตุนี้

                การค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้ ซึ่งดำเนินการโดยคณะของผู้เชี่ยวชาญทางด้านคริสตศาสนา มีนักวิชาการโบราณคดี ศาตราจารย์ ปอล คารัส(Prof. Paul Carusl) และนักภาษาศาสตร์ โรห์ริค(Roehrick) และโปรเฟสเซอร์ ที เสตอร์ลิงก์ เบอร์รี่(Prof. T. Sterling Breey) ได้พบหลักฐานยืนยันได้ว่า "พระพุทธเจ้า" ได้ถูกนำมารวมไว้อยู่ในบัญชีรายชื่อของปิตาจารย์ทั้งหลายของคริสต์ คาทอลิก โดยการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่แล้วใช้เรียกในนามของ "โจเซฟ(Joseph)" หรือ "โจซาฟัต(Josaphat)" หรือ "โจอาซาฟ(Joasaphat)" ซึ่งหากใครก็ตามได้อ่านข้อความในคัมภีร์โดยไม่มีการระบุชื่อ "โจอาชาฟ" ลงไปในคัมภีร์ย่อมจะเข้าใจและรู้ได้ในทันทีว่าข้อความนั้นเป็นเรื่องราวของ "พระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนา" จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงประวัติโดยการใส่ชื่อ และดัดแปลงเพียงเล็กน้อยในเนื้อหาให้แตกต่างไป

                โปรเฟสเซอร์ ที เสตอร์ลิงก์ เบอร์รี่(Prof. T. Sterling Breey) ได้พบหลักฐานว่าคัมภีร์ประวัติของ "เบอร์ลัม(Burlam)" ได้ถูกจารึกและเขียนขึ้นโดย เซ้นท์แห่งดามัสกัส(St.Damasgas) คริสต์ คาทอลิกนิกายโรมันคาธอลิค ดังนั้นจึงได้มีการทำพิธีการเซ่นไหว้ "โจซาฟัต" ในวันที่ 27 พฤศจิกายน ของทุกปี เพราะถือว่าเป็นวันประสูติของ "โจซาฟัต"

                ศาตราจารย์ ปอล คารัส(Prof. Paul Carusl) ได้พบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ว่า "พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรปตั้งแต่ครั้งโบราณก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเกิดขึ้นในโลก" ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปนั้น ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างประเทศอินเดีย ยุโรป และเอเซียตะวันตก ด้วยผลของการติดต่อกันดังกล่าวทำให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมด้วยในเวลาเดียวกัน แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่เนิ่นนานมากการค้นหาร่องรอยต่าง ๆ จึงทำได้ยากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดี ได้ถูกทำลายโดยนักบวชและศาสนิกของคริสต์ คาทอลิกในยุคหลังจนแทบหมดสิ้น ดังนั้นการจะค้นหาหลักฐานดังกล่าวได้จึงต้องเริ่มต้นจากรากฐาน และความหมายของข้อความ คำกล่าวที่เป็นศัพท์เฉพาะของพุทธศาสนา ซึ่งได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นภาษายุโรปต่าง ๆ หลายภาษา จนกลายเป็นภาษาท้องถิ่นไป ทำให้พระพุทธศาสนาในตะวันตกได้ถูกบิดเบือน เลอะเลือนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ในนามของหัวหน้าทั้งหลายนิกายต่าง ๆ จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการค้นหาให้พบรูปแบบดั้งเดิมได้

               Dr.Mahaffy ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะของ "ศาสนสถานในพุทธศาสนาที่กว้างใหญ่มีเนื้อที่หลายพันเฮคเตอร์ สามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนนับหมื่นพร้อมกับเครื่องใช้ของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา รวมทั้งศิลาจารึกพระสูตร ที่มีอายุก่อนคริสกาลถึง 400 ปี" รวมทั้งได้ค้นพบพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มีอายุน้อยกว่านั้น คือประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์กาล ซึ่งอยู่ในสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช จึงเป็นที่สามารถยืนยันได้ว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนของประเทศซีเรีย ก่อนคริสต์ศาสนาจะอุบัติขึ้นอย่างแน่แท้โดยปราศจากข้อสงสัยหักล้างใด ๆ และ สิ่งที่ควรจำและเป็นสิ่งที่ชาวคริสต์ คาทอลิก ต้องยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ไว้ด้วยว่า "เยซู" นั้นเป็นชาวซีเรียคนหนึ่ง  

              ในการค้นคว้าวิจัยของเรา ได้พบหลักฐานสำคัญจากจากจารึกโบราณโดยพระอรหันต์แห่งประเทศศรีลังกา นามว่า พระมหาวามสุ(Maha Vamsu) ได้บันทึกไว้ว่า ".....ได้ให้การต้อนรับ พระอรหันต์จากเมืองอะเล็กซานเดรีย นครหลวงแห่งยาวานา(Yavana) มีจำนวน 30,000 รูป ซึ่งได้เดินทางมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในพิธีรูวันเวลีซายา(Ruwan Veli  Saya)...."

             พิธีรูวันเวลีซายา(Ruwan Veli  Saya) นี้ได้ถูกจัดขึ้น ณ เกาะประเทศศรีลังกา เมื่อ 160 ปี ก่อนเยซูศาสดาของชาวคริสต์จะกำเนิดขึ้นมาดูโลก และเมืองอะเล็กซานเดรียเป็นเมืองหลวง

ของประเทศอียิปต์ในขณะนั้น ต่อมาคณะโบราณคดีได้ขุดค้นพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนศาสตร์ที่ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนามีอยู่จริงในเมืองอะเล็กซานเดรียดินแดนอียิปต์ คือพุทธสถานและแท่งหินแกะสลักเป็นรูปพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายเสียหายชำรุดไปอย่างน่าเสียดาย โดยนักบวชโรมันคาธอลิค

               คณะวิจัยค้นคว้าได้พบที่มาของการเรียกชื่อของราชโอรสแห่งกษัตริย์ศรีอินเดีย ซึ่งเรียกว่า โจอาซาฟ(Joasapht) นั้นได้มีการเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "คัมพัตตะมะ(Gambatama)" และความหมายของคำว่า "คัมพัตตะมะ" นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ "ฟราวาดิน(Fravardin Yast)" ซึ่งได้เขียนไว้เป็นภาษาปาซีร์ ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ 16 ว่า "คำว่าคัมพัตตะมะ(Gambatama) ในภาษาปาร์ซีนั้น จะมีความหมายเท่ากับคำว่า "กอตตะมะ(Godtama)" สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้ในโดยคำว่า "ก๊อต(GOD)"  

                จากการขุดค้นทางโบราณคดีปี ค.ศ.786 ในประเทศอียิปต์ โดยอัมดุลอาธาหิยา(abdul alhahiya) ได้พบจารึกในม้วนกระดาษปาปิรุสซึ่งมีอายุก่อนคริสต์ศักราชถึง 30 ปี ปรากฏข้อความที่เกี่ยวเนื่องกับคำว่า "ก๊อต(GOD)" ว่า

                   "..... หากผู้ใดประสงค์จะเห็นพระราชาที่มีอำนาจสูงสุด ก็จงดูกษัตริย์

                     ที่ครองด้วยเครื่องอาภรณ์ของนักบวชผู้ที่ชนทั่วไปเรียกว่า "ก๊อต(God)"

                     ในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย พระองค์เป็นผู้ที่บริสุทธิ์สะอาดในคุณธรรมทั้งปวง..."

ข้อความในม้วนปาปิรุสดังกล่าวสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ต่อเนื่องเชื่อมโยงของข่าวสารระหว่างดินแดนในประเทศอินเดีย กับประเทศอียิปต์ ได้อย่างชัดเจน จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า "ก๊อต(God)" ได้ถูกใช้มาก่อนที่เยซูจะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

             ดร.โกลด์ สิฮาห์(Dr.Gold Sihar)แห่งบูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส และหลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันว่า "ตามข้อความในม้วนปาปิรุสที่อ้างถึงพระราชาซึ่งเรียกว่า ก๊อต(God) นั้นเป็นคำเรียกซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า "โคตะมะ" เมื่อออกเสียงสั้น ๆโดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า "ก๊อต(God)" ซึ่งในยุคก่อนคริสตกาล ภาษาอียิปต์กับภาษาซีเรียนั้นเป็นภาษาที่มีรากภาษาเดียวกัน ทั้งยังเป็นภาษาที่ใช้อย่างกว้างขวางเนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง และการทหาร และการค้า การถ่ายทอดเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ จึงสามารถต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันได้เป็นปกติ

              ดร.โกลด์ สิฮาห์ ยังได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีว่า ศาสนาพุทธได้เข้าไปเผยแพร่และเจริญอยู่ในเกาะอังกฤษอีกด้วย ซึ่งเป็นสมัยก่อนที่จะมีคริสต์ศาสนา

             ในกรณีพระพุทธศาสนาได้เข้าไปเจริญรุ่งเรืองอยู่บนเกาะอังกฤษ ก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเผยแพร่เข้าไปถึงนั้น คณะวิจัยได้ค้นพบมีเอกสารหลักฐานยืนยันโดย บาทหลวงคริสต์ คาทอลิก ในสมัยการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุคแรกเริ่ม เอกสารบันทึกนั้นเป็นของออริเก้น แห่งอาเล็กซานเดรีย เขาได้บันทึกยืนยันไว้ด้วยตนเองในเอกสารของเขาว่า "ศาสนาพุทธได้เจริญเป็นอย่างมาก ได้ตั้งศาสนาสถาน และมีเหล่าพระสงฆ์สามเณรจำนวนมาก รวมทั้งสถานศึกษาทางพุทธศาสนา ตั้งอยู่ทั่วไปบนเกาะอังกฤษ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ไปถึง"

            และยิ่งปราศจากข้อสงสัยใด ๆ เพราะเราได้รับการยืนยันจากหลักฐานโดยการค้นคว้า ของ ดี.เอ.แมคเคนซี่(D.A.Mackenzie) ในเอกสารงานวิจัยของเขาชื่อ "พระพุทธศาสนาบนเกาะอังกฤษก่อนคริสต์ศาสนา(Buddhism existed im pre Christian England)" พยานหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งปรากฏบนเกาะอังกฤษ ซึ่งหมายถึงหินแกะสลักเป็นพระสงฆ์สามเณร หินสลักเป็นอักษรบรรยายพระสูตรในพุทธศาสนา เอกสารโบราณมากมายได้ถูกนำมาเผยแพร่และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ว่า "ศาสนาพุทธได้เจริญอย่างกล้าแข็งอยู่บนเกาะอังกฤษก่อนที่อังกฤษจะรู้เรื่องคริสต์ศาสนา"

            ในการประชุมคณะกรรมการประวัติศาสตร์โลก ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ.1926 ที่เมืองลานาว(Laknow) ได้ปรากฏเหตุการณ์สำคัญในการประชุมนี้ที่ชาวโลกควรได้รับรู้ก็คือ โปรเฟสเซอร์

              เมสรอฟบ์ ที.เซ๊ช (Prof. Mesrovb T. Seth) ได้นำเสนองานวิจัยค้นคว้าของท่านต่อคณะกรรมการบันทึกประวัติศาสตร์โลก(Historical Record Commission) เนื้อหางานวิจัยของท่านส่วนหนึ่งดังนี้

                 "...... หนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง ทารอน(Taron) โดยผู้แต่งชื่อ เซนอบ(Zenob)

                  ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคต้น ๆ ของคริสต์ คาทอลิก    อาร์มาเนีย ได้กล่าวว่า ในช่วงกลางศตวรรษ

                  ที่สองก่อนคริสต์ศักราช มีศาสนาพุทธเข้ามาตั้งอยู่อย่างมั่นคงในอามาเนียร์ ที่มีชาว

                   พราหมณ์อาศัยอยู่ก่อนแล้ว 450 ปี พวกเขาเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ

                   และพวกชาวพุทธเหล่านี้ได้สร้างเมือง หมู่บ้าน วัดวาอารามหลายแห่งต่อมาพวก

                   คริสต์ คาทอลิกได้ทำลายวัดวาอารามของพวกเขา และเข่นฆ่าฆ่าพวกพระทั้งหลาย

                        ข้าพเจ้าได้รู้เห็นเป็นพยานด้วยตัวข้าพเจ้าเองต่อการทำลายเหล่านี้ และจาก

                    ความโหดร้ายที่ได้รับ ทำให้ชาวพุทธเหล่านี้จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนา

                    คริสต์ แล้วผสมผสานกับชาวอาร์มาเนี่ยน จากนั้นจึงได้กลายเป็นชนชาติหนึ่ง

                          มีหลักฐานมากมายที่สามาถพิสูจได้ว่า เอเซียตะวันตกและยุโรปมีชาวพุทธ

                     และศาสนาพุทธ มันเป็นที่แน่ชัดว่าสันดานของพวกคริสต์ คาทอลิกทั้งหลาย ก็คือการ

                     กระหายเลือด ต้องการบดขยี้ทำลายศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งผู้ที่นับถือศาสนาเหล่านั้น

                          และมันก็คือพวกคริสต์ คาทอลิกนี่แหละที่เป็น "ผู้เผาทำลายห้องสมุดเล็กซานเดรีย

                      ที่รวมของสรรพวิชาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้หายไปในกองเพลิง แน่นอนที่สุด

                      ต้องมีคัมภีร์ต่าง ๆ ของพุทธศาสนาอยู่ที่นั่นอย่างมากมาย

                           และขณะที่เวลาได้ล่วงเลยไป พวกคริสต์ คาทอลิกจึงได้ฉวยโอกาส รวบเอาพระ

                      พุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาของพุทธศาสนา มานับรวมอยู่ในแถวรายชื่อของนักบุญ  

                       ผู้สอนศาสนาคริสต์เสียเลยด้วยความเห็นแก่ตัว และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง...."

               มันไม่มีทางหรือวิธีการใด ๆ ที่คริสต์ศาสนาจะสามาถบิดเบือนความจริง หรือสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะพิสูจน์ได้เลยว่า " พระพุทธเจ้าซึ่งเกิดก่อนเยซูถึง 6 ศตวรรษนั้นเป็นคริสต์ คาทอลิก"

                แต่เรา(คณะผู้ค้นคว้าวิจัย...ผู้เรียบเรียง) สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของทุกชาติล้วนตรงกันว่า เยซูคริส ลืมตามีชีวิตขึ้นมาดูโลกหลังจากพระพุทธเจ้า ศาสดาของพระพุทธศาสนานิพพานไปแล้วถึง 543 ปี หากนับรวมอายุของพระพุทธเจ้าเข้าไปด้วยแล้ว เยซูคริสต์ จะเกิดหลังพระพุทธเจ้าเกินกว่า 6 ศตวรรษ(พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 80+543 = 623 ปี....ผู้เรียบเรียง) และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเยซูคริสต์ นั้นเป็นเพียงลูกศิษย์ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ร่ำเรียนความรู้ของ "พระเจ้า" ตามที่ได้กล่าวอ้างโดยชาวคริสต์ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล

                  ข้อพิสูจน์ของเรา(คณะผู้ค้นคว้าวิจัย....ผู้เรียบเรียง) จากการที่ได้พบหลักฐานของ Dr. E. Maknob ปรากฏในผลงานวิจัยชื่อ "ชีวประวัติที่ไม่มีใครรู้ของพระคริสต์(The Unkown Life of Christ)" งานวิจัยดังกล่าวนี้ได้แปลออกมาจากเอกสารหลักฐานโบราณที่ค้นพบที่วัดเฮมิส (Hemis Monastery)ซึ่งเป็นวัดโบราณในธิเบต ที่มาของหลักฐานของDr.Maknob นี้ได้มาด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความพยายามที่จะทำลายความเชื่อถือของหลักฐานชิ้นสำคัญโดย บาทหลวงคริสต์โรมันคาธอลิคผู้หนึ่ง ซึ่งได้พยามปั้นเรื่องเท็จ โดยกล่าวว่า "เขาได้เดินทางไปที่วัดในธิเบตซึ่งDr. Maknob ได้เป็นผู้นำหลักฐานจากที่วัดนี้มาเปิดเผยนั้น พร้อมกับได้ถามหาเอกสารหลักฐานโบราณดังกล่าวแต่ได้รับการปฏิเสธจากพระลามะเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวว่า ไม่เคยพบและไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานดังกล่าวว่าเคยมีอยู่หรือเป็นสมบัติของวัดนี้มาก่อนเลย"

                   แต่ในที่สุดความเท็จดังกล่าวของ บาทหลวงโรมันคาธอลิค ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นโดย

โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค(Pof. Nichlors Roehrick) ก็ได้เดินทางไปยังวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ตามที่ Dr. Maknob อ้างถึง และใช้ชีวิตอยู่ในวัดนั้นหลายปี ใช้ความพยายามสุดความสามารถจนกระทั่งได้เอกสารหลักฐานตัวจริงตามที่ หลักฐานดังกล่าวได้เขียนลงบนเอกสารกระดาษสาซึ่งมีอายุกว่า 1500 ปี ซึ่งได้ถูกเขียนไว้เป็นภาษาธิเบต ข้อความที่ปรากฏในเอกสารหลักฐานนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของ "เยซู"ศาสดาของชาวคริสต์ ซึ่งในภาษาธิเบตเรียกว่า "อิสซา(Issa)" เนื้อหาทั้งสิ้นนั้นได้รับการจารึกโดยละเอียดนับตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเยซูตาย

                 โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค(Pof. Nichlors Roehrick) จึงนำเรื่องราวในเอกสารโบราณดังกล่าวมาเปิดเผยต่อชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง โดยปรากฏเป็นการค้นคว้าวิจัย ดังนี้

                   ".......... อิสซา(Issa) หรือ เยซู ในวัยเด็กได้เดินทางไปอินเดียกับกองคาราวานพ่อค้าพร้อมกับบิดามารดาของตน บิดาของ อิสซาหรือเยซู มีอาชีพทำการค้าระหว่างซีเรียกับอินเดีย บิดาได้ฝากให้อาศัยอยู่กับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ในฐานะเป็นศิษย์และได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนในปาเลสไตน์เมื่อมีอายุได้ 29 ปี   

                    ณ  เวลานั้น นาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาของพระพุทธศาสนา กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทุกอาณาจักร ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลย ว่าชายหนุ่มนาม เยซู ซึ่งเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ผู้นี้จะไม่เข้าไปรับการศึกษาที่นั่น

                    มันสามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การที่เยซูได้ศึกษาปฏิบัติจิตของชาวพุทธที่นั่น ทำให้เยซูได้เดินทางขึ้นสู่ธิเบตและได้เข้าวัดเพื่อฝึกหัดญานและอิทธิ(Dhyana & Iddhi) แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลเองก็ไม่มีการบันทึกเรื่องราวตอนนี้ ขาดหายไปในช่วงของเรื่องราวต่าง ๆ ของเยซู เกี่ยวกับสถานที่และการงานของเขาได้กระทำในระหว่างวัยเด็กเล็ก จนถึงอายุ 29 ปี ว่าเป็นอย่างไร

                    จากเอกสารงานวิจัยจากหลักฐานโบราณ ซึ่งนำเสนอต่อคณะกรรมการประวัติศาสตร์ สหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อว่า "การประหารชีวิตบนไม้กางเขนโดยพยานเอก(The story of Crucifiction by on Evewithness)" มีว่า " เยซูไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขน พระดงค์ดูคล้ายกับสลบไปก่อนที่เชือกที่เท้าของพระองค์จะถูกตัด  เขาได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากไม้กางเขน และเพราะความกลัวว่าพวกยิวทั้งหลายจะรู้และกลับมาฆ่า เขาจึงได้หนีออกจากเมืองไปสู่แคว้นแคชเมียร์ และที่นั่นคือถิ่นเดิมยามเยาว์วัยของเขา ซึ่งผู้คนได้รู้จักและเรียกขาน เยซูด้วยชื่อเดิมของเขาว่า "อิสซา และ ยูซา(Issa and Yusa) เขาอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบจากนั้นอีกหลายปีเขาจึงตาย ศพของเยซูได้ถูกฝังไว้ที่เมืองศรีนาคาร์ แคว้นแคชเมีย

                    โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค(Pof. Nichlors Roehrick) ได้แสดงหลักฐานที่พิสูจน์ได้ความจริงแล้วนั้นไว้ในงานวิจัยต่อไปอีกว่า "นางมาเรีย(ชาวคริสต์ยกย่องให้เป็นผู้วิเศษคนหนึ่งโดยเรียกว่าพระแม่มาเรีย...ผู้เรียบเรียง) ได้หนีออกจากเมืองไปพร้อมกับเยซู โดยไปอยู่ในแคว้นแคชเมีย อันเป็นที่อยู่เดิมเมื่อครั้งสมัยแรกซึ่งได้มาอยู่ในขณะเยซูยังเป็นเด็ก และได้อาศัยอยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งหมดอายุไข...."

                     เมื่อนำเอาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ความจริงแล้วเหล่านี้มาพิจารณาเข้าด้วยกัน ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดคำถามว่า "เยซู ใช้คำสอนของศาสนาใด เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพระเจ้าตามพระคัมภีร์ไบเบิล อ้างไว้นั้นจริงหรือ ? " และ "คำสอนในสมัยที่เยซูมีชีวิตอยู่และใช้สั่งสอน และตนเองใช้ปฏิบัตินั้นคือศาสนาอะไร ? " ข้อสงสัยนี้ได้ถูกขจัดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง โดย Prof. N. Plini ได้นำหลักฐานที่ได้พิสูจน์อย่างเป็นทางการออกสู่ชาวโลกในงานวิจัยของท่านชื่อ "ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสต์ คาทอลิก(Pre-Christine Palestine)" ซึ่งได้ระบุถึงนิกายหนึ่งของพุทธศาสนามีชื่อว่า เอสเซ่นส์(Essnenes) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเอกโยหาริกวาท(เอกโพฺยหารี) หรือ เอกวยหาริกะ (ปรากฏในอรรถคาถาแห่งคัมภีร์มหายานชื่อ "เภทธรรมมติจักรศาสตร์ "ของกุยกี ซึ่งระบุว่า นิกายนี้ยึดถือว่า โลกิยธรรมทและโลกุตรธรรมไม่มีสภาวะโดยแท้จริง สักแแต่เป็นบัญญัติโวหาร นิกายนี้แยกตัวออกจากมหาสังฆิกะ(มหายาน)ไปอยู่ต่างหาก.....ผู้เรียบเรียง) ปฏิบัติบำเพ็ญพรตคล้ายโยคี มักอยู่ตามตามถ้ำและป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบแคชเมีย และธิเบตตอนล่าง ได้แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์โดยผ่านทางช่องแคบไคเบอร์

                    พุทธศาสนานิกาย "เอสเซ่นส์(Essnenes)" มีสำนักใหญ่อยู่ในปาเลสไตน์ก่อนที่ "เยชู" ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี พระสงฆ์พวกนี้ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เข้าและทำสมาธิโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีศาสนา ล้วนตรงกันว่า นิกาย "เอสเซ่นส์(Essnenes)" นี้นั้นมีกิจวัตรหลักที่ต้องปฏิบัติคือการทำสมาธิจิต อันเป็นลักษณะเดียวกันกับการประพฤติของพวกโยคีในยุคนั้น จึงทำให้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า"อิสี" หรือ "อิสิ (Isi)" ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี และยังถูกเรียกเป็นภาษามคธว่า "รชิ(Rshi)" คำเรียกในภาษาทั้งสองจึงถูกนำไปใช้เรียกพระสงฆ์นิกายนี้ซึ่งได้เผยแพร่เข้าสู่ปาเลสไตน์ด้วยเช่นเดียวกัน         

                    มีหลักฐานที่ยืนยันชัดจากในไบเบิลของคริสต์ศาสนาเองว่า พระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนานิกาย "เอสเซ่นส์(Essnenes)" ได้ถูกบิดเบือนให้เป็นหนึ่งในปิตาจารย์ของคริสต์ศาสนา โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลในชื่อของ "เซ้นท์จอนด์ เดอะแบบติสท์" แต่เมื่อเราได้พิจารณาตามหลักฐานแล้วพบว่า จอนด์เดอะแบบติส นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตแบบชาวคริสต์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับดำเนินชีวิตและประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของ พุทธศาสนานิกายเอสเซ่นส์ ทั้งสิ้น !!! ???

                  เป็นสิ่งพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ผู้ที่ถูกคริสต์ศาสนาอ้างกล่าวนามว่าคือ จอนด์เดอะแบบติส ไม่ใช่ คริสต์ คาทอลิกอย่างแน่นอน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ "จอนด์เดอะแบบติสท์ เป็นผู้ที่ทำพิธีแบบติสท์ให้กับเยซูในแม่น้ำจอแดน" ในพิธีกรรมการบวชของชาวพุทธนั้น จะมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ตักน้ำรดหัวและโกนผมให้เป็นคนแรก การตักน้ำรดหัวนี้ชาวคริสต์ได้อ้างว่าเป็นพิธีกรรมเรียกว่ "แบบติสท์" แต่โดยความจริงพิธีดังกล่าวนั้นเป็นของชาวพุทธศาสนา และการบวชโดยใช้แม่น้ำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้ประกอบพิธีก็เป็นพิธีปกติปฏิบัติของชาวพุทธเช่นกัน(ในเมืองไทยเรียกว่า "โบสถ์น้ำ" สมัยปัจจุบันพ.ศ.2543 ในต่างจังหวัดก็ยังคงมีการอุปสมบทแบบนี้อยู่.....ผู้เรียบเรียง) จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างไม่มีข้อคัดค้านว่า จอนด์เดอะแบบติสคือพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำหน้าที่อุปัชฌายะบวชให้กับ เยซู ในแม่น้ำจอแดน แต่ต่อมานักบวชของโรมันคาธอลิคยุคหลังได้เปลี่ยนแปลงความจริงไปจนหมด และไม่สามารถสืบค้นได้ว่า จอนด์เดอะแบบติสท์ นั้นเป็นพระสงฆ์ที่ชื่อเรียงเสียงไร ซึ่งเป็นกรณีหนึ่งในอีกหลาย ๆ กรณีที่คริสต์โรมันคาธอลิคเป็นศาสนาเดียวที่ได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชนชาติต่าง ๆ ไปทั่วโลกอย่างกระหายเลือด โดยประวัติศาสตร์ไม่สามารถปฎิเสธความจริงได้ทั้งสิ้น

                 โดยงานวิจัยของ ศาตราจารย์ เอ็ม.เอ. อาร์เธอร์ ไลลี่(M.A.Arthur Lyli)  ทำให้เรา(คณะค้นคว้าวิจัย...ผู้เรียบเรียง)ได้หลักฐานเพิ่มเติมว่า พุทธศาสนานิกาย "เอสเซ่นส์(Essnenes) นี้ เป็นสาขาหนึ่งในหลายสาขาของพระพุทธศาสนา และอีกสาขาหนึ่งมีสำนักใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรีย ของอีจิปต์ ในชื่อว่า สะมานอย(Samaanoi) จากหลักฐานที่เหลืออยู่ของพระสูตรในพุทธศาสนาของพระสงฆ์นิกายนี้ทำให้ทราบได้ว่าแท้แล้วนั้นนิกายนี้คือ พุทธศาสนามหายานที่มีชื่อในภาษาบาลี"สะมิติยะ(Samitiya)" (พุทธมหายานนิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียและเอเซียไมเน่อร์มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ บันทึกของหลวงจีนเฮี่ยงจัง ได้กล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนานิกายนี้ไว้ว่า "...ในแคว้นมาละแห่งเดียวมีภิกษุในนิกายนี้ถึง 20,000รูป .." จะเห็นได้ว่าหลักธรรมของพุทธศาสนานิกายนี้ ได้ถูกเยซูหรือสาวกดึงไปดัดแปลงใช้ในการเผยแพร่ คริสต์ศาสนาคือ  1.ถือว่ามีอันตรภาวะ 2. ถือว่าปุถุชนก็ละกามราคะพยาบาทได้ ...ผู้เรียบเรียง)

                  จากงานวิจัยของ ดร.แม็ซ มูลเล่อร์(Dr.Max Muller) ได้พบหลักฐานความจริงจากจารึกในกระดาษปาปิรุสของอาเล็กซานเดรีย ซึ่งบันทึกไว้โดย อาเล็กซานเดอร์ โบลี่ ฮิสเตอร์(Alexander Poly Histor) ซึ่งบันทึกจากสิ่งที่พบเห็นด้วยตนเองในสมัยก่อนเยซูเกิด 60 ปี ไว้ว่า

                      "...ชาวพุทธทั้งหลายที่เรียกว่า สะมานอย(Samaanoi) ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวก

                   นักปราชญ์ปาร์ซี-ไบเตรียน(Parsi Baitrain Philosophers) ส่วนหนึ่งได้ไปสอนอยู่

                   ในอาณาจักรของพระเจ้าออกัสตัส(Augustus) นิกายนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษากรีกว่า

                   ซามาโนซีกัส(Zarmanochegus) ส่วนพระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้าก็จะได้รับการเรียกชื่อ

                   เดียวกันกับนิกายของเขาเช่นเดียวกัน....."

               เมื่อเรา(คณะผู้ค้นคว้าและวิจัย....ผู้เรียบเรียง) ได้ค้นคว้าหารากศัพท์ของชื่อนิกายหรือตำแหน่งผู้นำคณะสงฆ์คำว่า ซามาโนซีกัส(Zarmanochegus) พบว่ามาจากคำในภาษาบาลีว่า "สรามาจริยา(Sramachariya)" ชื่อของนิกายและพระสงฆ์มหายานนี้ได้ถูกสลักจารึกไว้ที่กรุงเอเธนส์

              จากหลักฐานงานวิจัยทางวิชาการ "การค้าขายระหว่างจักรวรรดิ์โรมันกับอินเดีย(Commerce Between the Roman Empire and India)" ทำให้เราสามารถพิสูจน์ได้ถึงความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง และการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาในยุคจักวรรดิ์โรมันนั้น หลักฐานดังกล่าวที่เป็นเครื่องยืนยันมีว่า "......พระพุทธศาสนามหายานได้มีการเผยแผ่หลักคำสอนอย่างแพร่หลายกว้างขวางที่สุดเข้าไปจนถึงปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานในคำสอนของมหายานก็คือ อธิ-พุทธะ และในส่วนสำคัญของคำสอนเรื่อง อธิ-พุทธะ นั้นคล้ายกับพระพรหมในคัมภีร์เวทานตะ(Vedanta) ซึ่งชี้เน้นให้เห็นอย่างเดียวกันคือเป็นต้นแบบของ พระผู้สร้าง(Creator) ที่ชาวยิวทั้งหลายนับถืออยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพของบุคคล แต่มันเป็นต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ทั้งหมด เป็นสิ่งที่คล้ายกันกับ "ปรกติ(Prokati)" ในปรัชญาสังขยา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพรรณา            

                 รูปร่างลักษณะได้ นักปราชญ์ผู้อื่นเช่น โจลิปัส ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน เป็นประเพณีในการจารึกของเหล่านักปราชญ์โบราณเหล่านี้ต้องอ้างถึงอธิ-พุทธะต่อคนทั้งหลายที่เคารพบูชา"ก๊อต(พระเจ้า)"

                 แต่คำว่า "ก๊อต(God)" หรือ "พระเจ้า"เป็นภาษาต่างชาติที่ได้ผสมเข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน ซึ่งเดิมทีแล้วเป็นคำที่ใช้ในภาษาพูดของนางมาเรียมารดาของ "เยซู" และคำนี้ได้ถูกเยซูนำมาใช้ในการยกอำนาจเบื้องบนประกอบการสั่งสอนของเยซูเท่านั้น และคำว่า "ก๊อต" นี้เป็นคำที่ชาวพุทธธิเบตใช้เรียกพระพุทธเจ้าของเขา ซึ่งมีนามว่า "พระโคตะมะ"โดยปกติ ก่อนเยซูเกิด

                โปรเฟสเซอร์ ริส เดวิด (Prof. Lead David)  ได้พิสูจน์จากหลักฐานโดยการวิจัย ทั้งทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีได้พบความจริงที่ไม่อาจจะสามารถหาข้อโต้แย้งใด ๆ ทางวิชาการ มาหักล้างผลงานวิจัยของท่านได้คือ คำว่า "ก๊อต(God)" ที่กล่าวไว้ทุกแห่งในคัมภีร์ไบเบิลนิวเทสเม้น จึงจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากหมายถึง "พระพุทธเจ้า" ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า "ก๊อตตะมะ(Godtama)" (ตรงกับภาษาบาลีว่า โคตะมะ....ผู้เรียบเรียง) ซึ่งเป็นชื่อโตครตระกูลของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า "เยซู" ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาดัดแปลงมาสั่งสอน จากคำว่า "อิลิยาห์(Elijah)" เป็นคำที่ใช้ทับศัพท์กับคำภาษาบาลีซึ่งใช้เรียกพระสงฆ์ที่สำเร็จธรรมขั้นสูงและพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า "อริยะ" ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า "ผู้ประเสริฐ(The Noble One)" ต่อมาได้แผลงเป็น "อาลีลูยา" ในคำสวดทั่วไปของคริสต์ศาสนา ซึ่งเราจะได้ยินอยู่ในปัจจุบัน

                คำที่คริสต์ศาสนานำของพุทธศาสนามาดัดแปลงใส่เข้าไปในคัมภีร์ไบเบิลส์อีกนั้นก็คือคำว่า "บุตรของก๊อต(Sun of God)" ในเมื่อได้พิสูจน์ให้เห็นถึงที่มาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของคำว่า ก๊อต(God) มาจากคำว่า "โคตะมะ" ซึ่งหมายถึง "พระพุทธเจ้า" ดังนั้น บุตรของก๊อต ก็คือ บุตรของพระพุทธเจ้า ตรงกันกับภาษาในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า "พุทธบุตร" ซึ่งหมายถึง "บุตร(สาวก)ของพระพุทธเจ้า" ช่างเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง ในการหยิบฉวยกล่าวอ้างของคริสต์ คาทอลิกในชั้นหลังที่นำเอาศาสนาอื่นมาเปลี่ยแปลงประกาศใช้ว่าเป็นของตนแต่ดั้งเดิม

                 เมื่อนำเอาบรรดาความจริงที่ได้พิสูจน์อย่างประจักษ์จริงทั้งหลายนั้น มาพิจารณารวมกัน เรา(คณะค้นคว้าวิจัย....ผู้เรียบเรียง) ก็สามารถมาถึงข้อสรุปได้ว่า

                  " เยซู ได้รับการอุปสมบทให้เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายเอสเซ่น โดยทำพิธีอุปสมบท(ในโบสถ์น้ำ.....ผู้เรียบเรียง)โดยพระอุปฌายะตามไบเบิลชื่อว่าจอนด์ และจากนั้นได้เข้าศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และไปศึกษาการปฏิบัติทางฌาณ-อภิญญา(Dhyana & Adhingna) ในวัดที่ธิเบตตอนล่างอีกหลายปีในระหว่างวัยหนุ่ม สำเร็จสมาธิระดับหนึ่ง เมื่ออายุได้ 29 ปี จึงเดินทางกลับบ้านในนาซาเรธ ปาเลสไตน์  แต่บ้านเกิดของเยซูขณะนั้นไม่มีชาวพุทธ แต่เต็มไปด้วยชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย จึงทำให้เยซูต้องต่อสู้กับศาสนายูดายส์โอลเทสเม้น(Old Testment) ซึ่งมีศาสดาของศาสนายูดายนามว่าโมเสส และในสมัยนั้นศาสนายูดาย กำลังมีอิทธิพลมากกับชาติยิวแถบปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดายกลายเป็นศัตรูที่จ้องหาโอกาศทำร้ายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีการจารึกคำสั่งสอนใด ๆ ของเยซูไว้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคำสอนของเยซูนั้น ก็คือคำสอนของพระสงฆ์นิกายเอสเซ่น ที่ใคร ๆ ก็รู้มีอยู่อย่างดาดดื่นอยู่แล้วทั่วไปในดินแดนแถบนี้

                    และในที่สุด "เยซู" จึงถูกชาวยิวคู่ปรับตั้งข้อกล่าวหาต่าง ๆ และได้รับการพิพากษาด้วยการตัดสินให้ถูกลงโทษประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน เยซูไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนในทันที เพราะได้เข้าฌานซึ่งการศึกษาจากธิเบตนั้น แต่คนที่เห็นคิดว่าตายแล้วซึ่งเป็นวิชาที่โยคีในอินเดียในปัจจุบันหลายคนก็ทำให้หัวใจหยุดได้เหมือนตายเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แม้แต่โยคีบางคนยังได้แสดงการเผาตัวเองให้นักท่องเที่ยวชมอีกด้วย พวกยิวจึงนำร่างเยซูไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง

                    หลังจากที่เยซูออกจากฌานจึงหลบหนีออกจากเมือง ไปอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ ที่ซึ่งบิดาของเยซูได้พาไปอาศัยอยู่เมื่อครั้งเด็ก นางมาเรียแม่ของเยซูก็ไม่อาจอยู่ในเมืองปาเลสไตน์ได้จึงหนีไปอยู่แคชเมียร์ด้วยเหมือนกัน และทั้งสองแม่ลูกก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งตาย

                    ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนิวเทสเม้น(New Testment) เป็นถ้อยคำที่ได้ถูกแต่งขึ้นมาโดยนักโทษชายชื่อ "เปาโล" และพรรคพวกที่นับถือศาสนายูดาย ของชาวยิวซึ่งติดคุกของโรมัน ได้ช่วยกันเขียนโดยแอบอ้างชื่อเสียงและเกียรติคุณของเยซูมาเป็นตัวละครแอบอ้าง ทั้ง ๆ ที่อยู่คนละศาสนาเพื่อ สร้างเป็นพลังทางการเมือง ทั้งนี้เพราะในยุคนั้นชาวปาเลสไตน์ที่นับถือพุทธศาสนา รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียงล้วนแต่นับถือพุทธศาสนา จะได้ใช้อิทธิพลบีบบังคับกับผู้นำโรมัน เพื่อให้พวกตนพ้นโทษประหาร หรือพ้นจากคุก ในฐานะที่ลงโทษศิษย์ของเยซูซึ่งเป็นชาวพุทธที่ตนแอบอ้างว่าพวกตนนั้นก็เป็นศิษย์ และเป็นชาวพุทธด้วย จากนั้นส่งจดหมายนั้นออกไปยังที่ต่าง ๆ  ในยุคต่อมาก็มีการก็นำเอาจดหมายของนักโกหกเหล่านี้มารวมเข้าด้วยกันเป็นเล่มไบเบิลเรียกว่า นิวเทสเม้นท์(New Testment) ซึ่งไม่มีตรงไหนที่เป็นคำสั่งสอนของเยซูอยู่ในนั้นแม้เพียงคำเดียว และเยซูเองก็ไม่เคยรู้จักนักโทษเหล่านี้เลยแม้เพียงคนเดียว แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่าบุคคลที่ชั่วร้ายซึ่งเป็นนักโทษเหล่านี้คือผู้ที่นับถือศาสนายูดาย ก็คือข้อความอันปรากฏในคัมภีร์ใหม่(New Testment) ล้วนเป็นเนื้อหาที่มาจาก คัมภีร์เก่า(Old Testment) ทั้งสิ้น ในเมื่อนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งนักโทษเปาโล ที่ติดคุกโรมันอยู่นั้น หากเขามิใช่เป็นผู้เคร่งต่อศาสนายูดาย เหตุใดเขาเหล่านั้นจึงสามารถจดจำเรื่องราว ถ้อยคำและความหมายในคัมภีร์เก่าของศาสนายูดายได้เล่า และสาวกของพวกเขาก็ได้แอบอ้างสร้างศาสนาขึ้นมาใหม่ชื่อว่า "โรมันคาทอลิก" เบียดบังขูดรีดหากิน และรุกรานประชาคมโลกตลอดมาตราบจนปัจจุบัน นี่คือผลสรุปของงานวิจัยและความจริงที่เราได้พิสูจน์แก่ชาวโลกให้ได้เห็นประจักษ์

Ref ::: UN. Doc /1900

                                                                    

 
Link to UN Home PageLink to UN News CentreLink to UN TelevisionLink to UN RadioLink to the SecretTop Secret Doc