กำเนิดพระอภิธรรม
ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธาและมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคำสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้ พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ทราบเพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะเกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์ท่านทรงทราบด้วยทศพลญาณว่า เมื่อท่านดับขันปรินิพพานพระญาติของท่านจะทำสังฆเพทเพื่อขึ้นปกครองสงฆ์ อันจะเป็นผลให้หลักธรรม คำสอนเสื่อมถอย พระสงฆ์จะแตกความสามัคคีแยกเป็นหมู่เหล่า
พระอภิธรรม อันประกอบด้วยปฏิสัมภิทา อริยมรรค อันเป็นทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารลึกซึ้งเกินกว่าผู้ประกอบด้วยมิจฉาทิษฐิจะศึกษา
ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ทรงแสดงอภิธรรมในมนุษยโลก เพราะจักไร้คุณค่า ดุจดั่งวานรมิรู้ค่าแห่งมณีจักพรรดิ์ ด้วยว่าพระอนุชาคือพระอานนท์ได้ปาวารณาไว้ว่า “ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในมนุษยโลก จะต้องแสดงให้กับพระอานนท์ฟังด้วย”
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงอาศัยเหตุแห่งเสด็จโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงสวรรค์ จึงมีพระบัญชาให้ธรรมเสนาบดีสารีบุตร รับพุทธบัญชาจารึกอภิธรรมเทศนา และ ปฏิสัมภิทามรรค โดยละเอียดตลอดไตรมาส และด้วยเหตุดั่งนี้ในการปฐมสังคายนา จึงไม่มีคัมภีร์อภิธรรมปรากฏ ดังจารึกเป็นหลักฐานไว้ในคัมภีร์ยมก ด้วยประการฉะนี้
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระอภิธรรม และ ปฏิสัมภิทามรรคเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวเท่านั้น มิได้แสดงในมนุษยโลกเลย
โดยเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทดแทนคุณของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติพระองค์ได้ ๗ วันและได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันดุสิตเทพบุตร
ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจำนวนหลายแสนโกฏิ มาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันดุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม แก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดารตลอดพรรษากาล คือ ๓ เดือนเต็ม
เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วก็เสด็จกลับขึ้นไปยังดาวดึงส์เพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าเพื่อศึกษาพระอภิธรรม และปฏิสัมภิทามรรคทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตร ฟังวันต่อวัน(พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ)
เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จไปแสดงธรรมแก่ปวงเทพเทวาต่อไป ทรงกระทำเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงพระอภิธรรมบนเทวโลกจบสมบูรณ์แล้วการแสดงพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนาเทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิได้บรรลุธรรม และสันดุสิตเทพบุตร(พุทธมารดา)ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคล
เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นำมาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระพุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระอภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่านาติวิตถารนาติสังเขปนัย
ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ ภายหลังจากพระธรรมเสนาบดีได้นิพพาน ได้พากันไปศึกษาเพิ่มเติมด้านอภิญญาสมาบัติจากพระโมคคัลลาอรหันเถระ ซึ่งเป็นสหธรรมิกของพระสารีบุตร จนเชี่ยวชาญในการควบคุม ปรับแปลง มหาภูตรูปทั้ง ๔ ได้อย่างแคล่วคล่อง
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ภิกษุศิษย์ของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรส่วนหนึ่ง ก็ได้ไปศึกษาทิพยจักขุกับพระอนุรุทธะอรหันตเถระ และได้ติดตามพระอนุรุทธเถระซึ่งเดินทางไปเผยแพร่ธรรมะยังประเทศกรีก ตามคำนิมนต์ของโสเครติส ซึ่งได้สร้างว้ดเพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พุทธศาสนาในหุบเขาสีชมพู(ปัจจุบันอยู่ในประเทศจอร์แดน เรียกว่าเพตรา(Petra)เป็นนิกายใหม่ที่ชนกรีกยุคนั้นเรียกว่า “นิกายสมิตยะ” ในภาษาปาซี(พื้นเมืองเรียกว่า สะมานอย)
ภิกษุศิษย์ของพระสารีบุตรส่วนที่เหลือ ยังคงอยู่กับพระมหาโมคคัลลาน์อรหันตเถระ ซึ่งล้วนเชี่ยวชาญทางฤทธิ์อภิญญา สืบต่อถ่ายทอดสั่งสอน “พระอภิธรรม และ ปฏิสัมภิทามรรค” สืบมาจนถึงยุคของพระนาคารชุน(พศ.๖๐๐) เกิดกรณีลัทธิพรามณ์ส่งจารชนเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนา โดยคัดพรหมณ์ที่ฉลาดสุดนามว่า “ศังการพรามณ์”ปลอมเข้ามาบวช ศึกษา และ คัดลอกคัมภีร์พุทธศาสนาไปทั้งหมด แล้วหนีไปตั้งศาสนาใหม่ที่แคว้นกลิงครัฐ(ยะไข่ ในปัจจุบัน)โดยตั้งเป็นศาสนาใหม่ชื่อว่า “ฮินดู แปลว่า ผู้มาแต่แม่น้ำสินธุ” ลอกเลียน ปรับแปลง ปลอมปน หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาไปเป็นของตน และ เผยแพร่ความเชื่อเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาว่า “…ผู้ใดฆ่าพระสงฆ์ในพุทธศาสนา เผาทำลายพุทธสถาน จะได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระศิวะ”
ความเชื่อนี้ได้ได้ถูกฝังในความเชื่อของกษัตริย์หลายราชวงศ์ในยุคต่อมา จึงฆ่าพระสงฆ์ในพุทธศาสนานับแสนรูป ศาสนาในชมพูทวีปจึงย่อยยับนับแต่นั้น
ในยุคดังกล่าวนี้ “พระนาคารชุน” ศิษย์สายพระโมคคัลลาน์ เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาเถ่ายทอดอภิธรรมและปฏิสัมภิทามรรคจากสายศิษย์พระสารึบุตรดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับเชี่ยวชาญทางกสิณธาตุโดยเฉพาะวิญญาณกสิณ พร้อมท้้งอภิญญาสมาบัติ จึงเดินทางขึ้นไปยังดินแดนทิเขต เผยแผ่อภิธรรม-ปฏิสัมภิทามรรค และ กสิณแก่ชนชาวทิเบต
ท่านมีศิษย์เอกสายฆาราวาสซึ่งเป็นชาวไทเมืองปา อาณาจักรโขตาน จึงถ่ายทอดสรรพวิทยา จนในที่สุดศิษย์ผู้นี้ได้กลายเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชมพูทวีปนามว่า “พระเจ้ากนิษกะ” ซึ่งได้เป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภก ประธานฝ่ายฆาราวาสทำการสังคายนาพระพุทธศาสนาจึงกำเนิด “มหายาน” นับเนื่องมาแต่นั้น
พระนาคารชุนได้นำเอาหลักธรรมคำสอน ที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร รับพุทธบัญชาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดให้ ณ ดาวดึงส์สวรรค์ คือ พระอภิธรรม และ ปฏิสัมภิทามรรค ถ่ายทอดในแผ่นดินทิเบต แผ่เข้าไปในประเทศจีนตอนเหนือ ก่อให้เกิดพุทธอีกนิกายหนึ่งเรียกว่า “นิกายฌิงมะ หรือ นิกายฉัพพันธรังสี(ดังปรากฏเป็นหลักฐานภาพเขียนสีพุทธของธิเบต สืบมา)
ทั้งนี้เนื่องมาจากกรณีที่พระอานนท์ได้ทูลถามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “กสิณใดเลิศสุด ในกสิณทั้ง ๑๐ ? ” พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า “วิญญาณกสิณ เลิศสุด”..ซึ่งวิญญาณกสิณนี้จะควบคุมคลื่นแสงทั้งหมด อันเรียกว่าฉัพพันธรังสี(ทางPhysic เรียกว่า Spectrum Wave) นิกายฌิงมะ หรือ นิกายฉัพพันธรังสี ได้สลายไปเมื่อกองทัพแดงของลัทธิเมาเจอตุง ได้บุกขึ้นยึดทำลายเผาวัดวาอารามพุทธศาสนาในประเทศธิเบตจนแทบไม่เหลือซาก
พระอภิธรรมปิฎก
ตามบันทึกที่เขียนขึ้นในประเทศศรีลังกา ว่า…อภิธรรมนั้นชาวพุทธมาเริ่มรู้จักแพร่หลายภายหลังสมัยของพระเจ้าอโศก ซึ่งเกิดจากศิษย์ของพระสารีบุตร 500 รูป ซึ่งได้รับการถ่ายทอด ได้นำมาเผยแผ่และปฏิบัติ พระอภิธรรมจัดเป็นเป็นหมวดธรรมที่ ประมวลพุทธพจน์อันเกี่ยวกับหลักธรรมที่เป็นวิชาการว่าด้วยเรื่องของปรมัตถธรรม อย่างละเอียดพิศดารยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทางพระอภิธรรมถือว่าบุคคลนั้นไม่มี มีแต่สิ่งซึ่งเป็นที่ประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป เท่านั้น ดังนั้น ธรรมะในหมวดนี้จึงไม่มีเรื่องราวของบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย
พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ทั้งสิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มากกว่าปิฏกอื่น ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า สัง. วิ. ธา. ปุ. กะ. ยะ. ปะ. (หัวใจพระอภิธรรม) ได้แก่
๑. คัมภีร์ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้เป็นหมวดเป็นกลุ่ม เรียกว่า กัณฑ์ มีทั้งหมด ๔ กัณฑ์ คือ
>>๑.๑) จิตตวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจำแนกจิตและเจตสิก เป็นต้น
>>๑.๒) รูปวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจำแนกรูป เป็นต้น
>>๑.๓) นิกเขปราสิกัณฑ์ แสดงธรรมที่เป็นแม่บท (มาติกา) ของ ปรมัตถธรรม
>>๑.๔) อัตถุทธารกัณฑ์ แสดงการจำแนกเนื้อความตามแม่บทของ ปรมัตถธรรม
๒.
คัมภีร์วิภังค์ ว่าด้วยการจำแนกมาติกาในคัมภีร์ธัมมสังคณี ทั้งติกมาติกา ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๑๐๐ หมวด โดยแบ่งเป็น ๑๘ วิภังค์ เช่น ขันธวิภังค์ จำแนกขันธ์ อายตนวิภังค์
จำแนกอายตนะ, ธาตุวิภังค์ จำแนกธาตุ, สัจจวิภังค์
จำแนกสัจจะ, อินทริยวิภังค์ จำแนกอินทรีย์, ปฏิจจสมุปบาทวิภังค์
จำแนกปฏิจจสมุปบาท, สติปัฏฐานวิภังค์ จำแนก สติปัฏฐาน เป็นต้น
๓.
คัมภีร์ธาตุกถา ว่าด้วยคำอธิบายเรื่องขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘
โดยนำมาติกาของคัมภีร์นี้จำนวน ๑๐๕ บท และมาติกาจากคัมภีร์ธัมมสังคณีจำนวน
๒๖๖ บท (ติกมาติกา ๖๖ บท ใน ๒๒ หมวด และทุกมาติกา ๒๐๐ บท ใน ๑๐๐ หมวด)
มาแสดงด้วยนัยต่างๆ (จานวน ๑๔ นัย) เพื่อหาคำตอบว่าสภาวธรรมบทนั้นๆ
สงเคราะห์เข้าได้กับขันธ์เท่าไร เข้าได้กับอายตนะเท่าไร
และเข้าได้กับธาตุเท่าไร เข้าไม่ได้กับขันธ์เท่าไร
เข้าไม่ได้กับอายตนะเท่าไร และเข้าไม่ได้กับธาตุเท่าไร
๔. คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยการบัญญัติ (การประกาศ แสดง หรือชี้แจง) ในเรื่อง ๖ เรื่อง คือ
>>๔.๑) ขันธบัญญัติ การบัญญัติเรื่องขันธ์
>>๔.๒) อายตน บัญญัติ การบัญญัติเรื่องอายตนะ
>>๔.๓) ธาตุบัญญัติ การบัญญัติเรื่องธาตุ
>>๔.๔) สัจจบัญญัติ การบัญญัติเรื่องสัจจะ
>>๔.๕) อินทริยบัญญัติ การบัญญัติ เรื่องอินทรีย์
>>๔.๖) ปุคคลบัญญัติ การบัญญัติเรื่องบุคคล
๕.
คัมภีร์กถาวัตถุ ว่าด้วยการโต้วาทะเพื่อชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นว่าวาทกถา (ความเห็น) ของฝ่ายปรวาที (พวกภิกษุในนิกายที่แตกไปจากเถรวาทในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) จำนวน ๒๒๖ กถา ล้วนผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากพระพุทธพจน์ดั้งเดิมที่ภิกษุฝ่ายเถรวาทยึดถือปฏิบัติอยู่
วิธีการโต้วาทะใช้หลักตรรกศาสตร์ที่น่าสนใจมาก นับเป็น พุทธตรรกศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งมีในคัมภีร์นี้เท่านั้น
๖.
คัมภีร์ยมก ว่าด้วยการปุจฉา-วิสัชนา สภาวธรรม ๑๐ หมวด ด้วยวิธีการยมก คือการถาม-ตอบ เป็นคู่ๆ ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะของคัมภีร์ยมกสภาวธรรม ๑๐ หมวด ได้แก่
(๑) หมวดมูล (สภาวธรรมที่เป็นเหตุ)
(๒) หมวดขันธ์
(๓) หมวดอายตนะ
(๔) หมวดธาตุ
(๕) หมวดสัจจะ
(๖) หมวดสังขาร
(๗) หมวดอนุสัย
(๘) หมวดจิต
(๙) หมวดสภาวธรรมในกุสลติกะ เรียกสั้นๆ ว่า หมวดธรรม
(๑๐) หมวดอินทรีย์
สภาวธรรม ๑๐ หมวดนี้ทำให้แบ่งเนื้อหาของคัมภีร์ยมกออกเป็น ๑๐ ยมก เรียกชื่อตามหมวดสภาวธรรมที่เป็นเนื้อหา คือ
(๑) มูลยมก
(๒) ขันธยมก
(๓) อายตนยมก
(๔) ธาตุยมก
(๕) สัจจยมก
(๖) สังขารยมก
(๗) อนุสยยมก
(๘) จิตตยมก
(๙) ธัมมยมก
(๑๐) อินทริยยมก
๗.
คัมภีร์ปัฏฐาน ว่าด้วยการจำแนกสภาวธรรมแม่บท หรือ มาติกา ทั้ง ๒๖๖ บท (๑๒๒
หมวด) ในคัมภีร์ธัมมสังคณี โดยอำนาจปัจจัย ๒๔ ประการ มี เหตุปัจจัย เป็นต้น เพื่อให้เห็นว่าสภาวธรรมทั้งหลายปรากฏเกิดขึ้น ตามเหตุ
ตามปัจจัยทั้งสิ้น มิได้เกิดจากการบงการของผู้ใด แต่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า จิตตนิยาม กรรมนิยาม และธรรมนิยาม
สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือธรรมะหมวดที่๓ ในพระไตรปิฎกที่สอนให้รู้จักธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายอันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา ธรรมชาติทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนี้รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม หากแปลตามศัพท์ คำว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่าธรรมอัน ประเสริฐ, ธรรมอันยิ่ง, ธรรมที่มีอยู่แท้จริงปราศจากสมมุติ เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงปรมัตถธรรม ล้วนๆ โดยไม่มี บัญญัติธรรม (สมมุติโวหาร) เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงควร ทำความเข้าใจไว้ในเบื้องต้นก่อนว่า ปรมัตถธรรม และ บัญญัติธรรม นั้น ต่างกันอย่างไร